ครั้งแรกที่ผมเห็น #ให้มันจบที่รุ่นเรา
จำได้ว่าน่าจะเห็นจากทวิตเตอร์ก่อน
แล้วก็ค่อยๆลามมาที่เฟสบุค
แล้วลามต่อไปยังม็อบของนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ
จนตอนนี้ไปเป็นทั้งลายเสื้อ กรอบเฟสบุค และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
ดูเหมือนกระแสนี้ จะเริ่มจากน้องๆนักศึกษาใช่มั้ยครับ
ในทวิตเตอร์นั้น ผมเดาเอาว่า 80% น่าจะเป็นนักศึกษาเป็นส่วนมาก
ที่เหลือก็คละๆกันไป
ทำไมต้องให้จบที่รุ่นเรา
เรา คือใคร
หากให้ผมตีความเอง ผมก็คงตีความได้ว่า ให้มันจบที่รุ่นของน้องๆนักศึกษายุคนี้นี่แหละ
ถ้าจะจบ ก็ควรจะจบในยุคของน้องๆเค้าเองเลย
เพราะอะไร?
เพราะถ้าหากมันจบได้จริงๆ สามารถร่างรัฐธรรมนูญใหม่หมดได้จริง
อนาคตของพวกน้องๆจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
หากเปลี่ยนจากระบบการเมืองเดิมๆได้ สู่ระบบการเมืองใหม่ที่เป็นการเมืองรูปแบบใหม่จริงๆ
ไม่ใช่การเมืองแบบที่เราคุ้นเคยมาหลายสิบปี
ยิ่งหากบวกกับนโยบายต่างๆของทาง “อนาคตใหม่” (หรือก้าวไกล) ที่ชูขึ้นมานั้น
มันยิ่งเป็นตัวเร่งเร้าให้น้องๆนักศึกษา อยากเห็นการเกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองใหม่เร็วยิ่งขึ้น
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
การมาของอนาคตใหม่ สร้างความคาดหวังครั้งใหม่และใหญ่มาก
ให้กับเยาวชนนักศึกษา
นี่คือพรรคที่ก่อตั้งโดยหัวหน้าพรรคที่อายุยังน้อย หากเทียบกับหัวหน้าพรรคของทุกพรรคการเมือง
มันคือปรากฏการณ์ใหม่ ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
การมาของอนาคตใหม่ ทำให้เยาวชนนักศึกษารู้สึกได้ว่า
“การเมืองมันไม่ใช่เรื่องไกลตัว”
มันเป็นเรื่องของทุกคน มันเป็นเรื่องที่สามารถหยิบยกมาพูดได้ในชีวิตประจำวัน
เสริมทัพด้วย อ.ปิยะบุตร และ ช่อ พรรณิกา ที่กล้าจะพูดในสิ่งที่คนในช่วงอายุเดียวกันกับ
พรรณิกา ไม่กล้าพูด
และด้วยวิสัยทัศน์ นโยบายต่างๆที่หยิบยกขึ้นมาหาเสียง ต่างเสริมกันได้เป็นอย่างดี
ให้เป็นพรรคการเมืองที่คนรุ่นใหม่ให้การสนับสนุน
มาดูกันว่า นโยบายของ “อนาคตใหม่” มีอะไรบ้าง
ถ้าจะพูดแต่ฝั่งของอนาคตใหม่อย่างเดียวก็คงไม่แฟร์
(ขอไม่พูดถึง นโยบายของ พลังประชารัฐ นะครับ เพราะเสียเวลาที่จะอ้างถึง เป็นนโยบายขายฝันที่พอเป็นรัฐบาลแล้วก็ไม่เห็นจะทำได้สักข้อ)
แล้วของเพื่อไทยล่ะ
จริงๆแล้วถ้าดูภาพรวมของทั้งสองพรรคก็จะมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
แต่ถ้าดูแบบพิจารณาดีๆนั้น
ในส่วนของอนาคตใหม่ เน้นย้ำในเรื่องของ “ความเท่าเทียม”
โดยเฉพาะข้อ 1-5-6
และที่น่าจะถูกใจวัยรุ่นก็น่าจะเป็นข้อ 8
ทีนี้ถ้าว่ากันถึงข้อ 1. คือการล้างระบบเส้นสาย หยุดทุนใหญ่กินรวบประเทศ
น้องๆวัยรุ่น กลุ่มนักศึกษาที่เป็นฐานเสียงหลักของ อนาคตใหม่ น่าจะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้
เพราะหากล้างระบบนี้ไปได้ หรือให้มีน้อยที่สุด
พวกเขาจะสามารถลืมตาอ้าปากได้อย่างเสรี ได้ทำธุรกิจที่ไม่ต้องผูกขาดอยู่กับนายทุนใหญ่ เช่นถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นได้อย่างชัดเจน ก็น่าจะเป็นเรื่อง คราฟต์เบียร์ คือสามารถผลิตเบียร์ได้เองในสูตรของตัวเอง ซึ่งในปัจจุบัน การผลิตเบียร์ ยังผูกขาดอยู่แต่กับกลุ่มนายทุนใหญ่เท่านั้น ที่มีกฏหมายว่า ต้องมีการผลิตขั้นต่ำ ไม่ต่ำกว่า xxx หมื่นลิตร ต่อเดือน ซึ่งแน่นอนว่าหากจะทำกันเอง แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้
ข้อ 5 เปิดข้อมูลรัฐ กำจัดทุจริต
ถ้าจะพูดไป จริงๆนโยบายนี้ก็ไม่ได้ใหม่อะไรมากมาย
แต่พอมันมาอยู่ในนโยบายของ อนาคตใหม่
ที่มี ธนาธร เป็นหัวหอก
มันกลับดูน่าสนใจขึ้นมาทันที
เพราะนโยบายนี้ ไม่ใช่แค่ อนาคตใหม่ ที่หยิบมาพูดเป็นพรรคแรก
แต่พรรคที่ผ่านๆมา ที่เคยหยิบนโยบายนี้มาชู ไม่ว่าจะกี่รัฐบาล ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจริงๆจังๆได้
น้องๆ เด็กๆเค้าเลยอยากเห็นว่า ถ้านโยบายแบบนี้ มาอยู่ในมือรัฐบาลที่มีการนำโดย ธนาธร ปิยบุตร และพรรณิกา
เค้าก็คงคิดว่า มันก็น่าจะได้ลุ้นกว่าทุกพรรคการเมืองที่เคยที่ผ่านมา
ข้อ 6 เคารพความแตกต่าง ศักดิ์ศรีคนต้องเท่าเทียม
ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า ประเทศไทย คนจนมีมากกว่าคนรวย
ซึ่งจริงๆก็เป็นแบบนี้กันทั้งโลกอยู่แล้ว
แล้วนโยบายนี้ก็ไม่ได้ใหม่อะไรเลยยยยด้วยซ้ำ
แทบทุกพรรค ทุกการเลือกตั้ง ก็มีนโยบายนี้อยู่ตลอด ที่ผ่านมา ทุกยุค ทุกสมัย
ธนาธร อาจเลือกสื่อสารข้อนี้ในทางอื่น นั่นก็คือ
การสื่อสารผ่านตัวตนของเขานั่นเอง
เราน่าจะคุ้นชินกับภาพของ ธนาธร ในลุค เสื้อเชิ้ตสีขาว และกางเกงผ้า ทรงลุงๆหน่อย
เป็นลุคที่เรียบง่าย ธรรมดา
รวมไปถึงภาพตอนที่เขาเพิ่งก่อตั้งพรรค อนาคตใหม่ ในช่วงแรกๆ
เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงทรงลุง เดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ
เรียบง่าย ไม่ฟู่ฟ่าหรูหรา
เจอชาวบ้านในแต่ละจังหวัด
ก็นั่งทักทาย กินข้าวด้วยกันกับเขาอย่างไม่มีความเคอะเขิน
ไหนจะภาพสมัยที่ ธนาธร ยังหนุ่มๆสมัยเรียนอยู่ ธรรมศาสตร์
ร่วมม็อบเพื่อปกป้องชาวบ้านกลุ่ม สมัชชาคนจน ในสมัยนายก ชวน หลักภัย
และได้เกิดการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนได้รับบาดเจ็บ
ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ทายาทนักธุรกิจเบอร์ต้นๆของประเทศอย่างเขา
จะต้องมาเอาชีวิตมาเสี่ยง มาร่วมม็อบกับกลุ่มคนที่ไม่มีทางสู้เหล่านี้
แต่เขามาเพราะสิ่งที่เขาเชื่อ เพราะอุดมการณ์ที่แม้แต่พ่อแม่ของเขา ก็ไม่สามารถขวางได้
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ภาพของ ธนาธร ชัดเจนขึ้นในนโยบายที่บอกว่า ทุกคนต้องเท่าเทียม
แม้จะดูเป็นอุดมคติ ที่ยากจะไปถึง
และโดยส่วนตัวผมก็เชื่อว่า อีก 100-200 ปี ก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้จริงกับคำว่า
ทุกคนต้องเท่าเทียม
แต่เชื่อว่า อย่างน้อยๆ ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน จะลดลงมากกว่านี้
หากดูจากสถิติ ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในโลก
ประเทศไทยเรา ยืนหนึ่งเรื่องความเหลื่อมล้ำมาหลายปี
และหากไม่มีการปฏิวัติ หรือ ปฏิรูประบบการเมืองแบบเก่า
จากที่เคยเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน
ไม่เกิน 20 ปี ประเทศไทย อาจจะตกไปอยู่อันดับสุดท้ายของอาเซียนก็ได้
เด็กๆและเยาวชนคนรุ่นใหม่ จึงอยากให้ระบบระบอบเก่าๆ มันจบลงที่รุ่นของพวกเขา
เพราะอนาคตของพวกเขา มันขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
อย่างที่คุณจอมขวัญพูดถึง ในรายการของคุณช่า https://www.youtube.com/watch?v=qoUoxHRuno4&t=973s
คุณจอมขวัญพูดว่า
การที่มีรัฐประหารตั้งแต่ปี 57 จนถึงปัจจุบันนั้น มันเป็นต้นทุนที่คุ้มค่าที่จะจ่าย
มันจะมีคนที่แบบ เฮ้ย ชีวิตเราตั้งเกือบ 10 ปี ที่ต้องเสียไปในระบบที่เราไม่ได้เลือกเอง
90 ปีแล้วที่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนถึงตอนนี้ พี่ว่าช่วงนี้ คือทางลัดมากๆเลยนะ
มันคือ Shortcut มากๆแล้วมันเห็นชัดมากๆว่าวิธีไหนที่เวิร์ค วิธีไหนที่มันไม่เวิร์ค
ผมก็เชื่อแบบเดียวกับคุณจอมขวัญ
เราอยู่ในสถานการณ์การเมืองที่มันบิดเบี้ยว ตรรกะผิดเพี้ยนมาหลายปี
ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะตอนไหน
ถ้าไม่ใช่วันนี้ แล้วเมื่อไหร่
ช่วงนี้คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สุด เพราะสถานการณ์ต่างๆได้ถูกจุดติดขึ้นมาแล้ว
หากทุกอย่างสำเร็จได้อย่างที่หวัง อนาคตของเยาวชนในภายภาคหน้า อนาคตทางอาชีพ อนาคตในการใช้ชีวิตของพวกเขา อาจเปลี่ยนไปได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ภายใต้อนาคตที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบไร้เผด็จการจริงๆอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แม้วันนี้ การเดินทางของ อนาคตใหม่ จะสิ้นสุดลงแล้ว
ผมยังเชื่อว่า ก้าวไกล ที่รับไม้ต่อ อุดมการณ์มาจาก ธนาธร อนาคตใหม่
จะสามารถขับเคลื่อนความต้องการ และเจตนารมณ์เดิมของพรรคให้ไปถึงจุดที่หวังเอาไว้ได้
และประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าขาดแรงสนับสนุนจากพันธมิตรประชาธิปไตยอย่าง
พรรคเพื่อไทย
ในเรื่องของประชาธิปไตยนั้น ผมคงไม่ต้องกล่าวอะไรมากมายเหมือนทางฝั่งของอนาคตใหม่
เพราะเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า
กลุ่มฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย คือกลุ่มคนที่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริงมาเป็นเวลานานแล้ว
ดังจะเห็นได้จากการต่อสู้ของกลุ่ม คนเสื้อแดง ในหลายๆเวทีการเมืองที่ผ่านมา
ในวันนี้ การรวมพลังกันของกลุ่ม คนเสื้อแดง และ นักศึกษา ผมคงพูดได้เต็มปากแล้วว่า
นี่คือทองแผ่นเดียวกันแล้ว
นี่คือการต่อสู้บนอุดมการณ์เดียวกัน
นี่คือการเดินทางบนถนนที่มีจุดหมายปลายทางที่เดียวกันนั่นคือ
ประชาธิปไตยที่แท้จริงบนแผ่นดินไทย
ภาพลุงๆป้าๆเสื้อแดงที่หยิบยื่น อาหาร เครื่องดื่ม ให้น้องๆนักศึกษาที่ม็อบวันที่ 16 สิงหา
ภาพการปราศรัยของกลุ่มนักศึกษาที่พูดถึงพี่น้องเสื้อแดง และกล่าวคำขอโทษบนเวทีปราศรัยนั้น
เป็นภาพที่หากพี่น้องเสื้อแดงที่สละชีวิตต่อสู้กับเผด็จการได้เห็น
คงตายตาหลับ และทำให้การต่อสู้ของพวกเขา มีความหมายกับอนาคตประเทศและเยาวชนรุ่นหลังมากขึ้น
แม้ระหว่างทาง อาจมีข้อขัดแย้งกันบ้าง เห็นต่างกันบ้าง
แต่ก็ยังยืนอยู่บนอุดมการณ์เดียวกัน ยังมีเส้นชัยคือธงแห่งประชาธิปไตยเหมือนกัน
การต่อสู้อันยาวนานของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เริ่มผลิดอกออกผลให้เยาวชนได้เห็นแล้ว
การต่อสู้ของพวกเขา
การสละชีพเพื่อประชาธิปไตยของพวกเขา
จะไม่สูญเปล่าอีกต่อไป
กล่าวมาถึงตรงนี้ ขอสดุดีให้กับทุกชีวิตที่เสียไปของพี่น้องเสื้อแดงด้วยอีกครั้งนะครับ
แน่นอนว่า ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเยาวชน นักศึกษาเท่านั้น ที่อยากให้จบในรุ่นของพวกเขา
ส่วนตัวผมเอง ผมเชื่อว่า วันที่น้องๆใฝ่ฝันถึง วันที่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจะเบ่งบานในประเทศไทยนั้น
มันเกิดขึ้นแน่นอน โดยไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องมีม็อบ ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ
เวลา
ผมเชื่อว่า ในอีก 30-40 ปีข้างหน้า เวลา จะนำพาประชาธิปไตยที่แท้จริงมาสู่ประเทศไทย
เพราะกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ชู 3 นิ้ว ทั่วทั้งประเทศในโรงเรียน มหาวิทยาลัย
พวกเขาเหล่านี้จะเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ เป็นฟันเฟืองหลักที่จะนำประเทศไทยเดินหน้าไป
กลุ่มความเชื่อเก่าๆ เชื่อในระบอบเผด็จการ ก็จะค่อยๆล้มหายตายจากไปเองตามธรรมชาติ
แต่…
ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งคิดว่า
ทำไมพวกเขาจะต้องรอถึงวันนั้น?
วันนี้พวกเขา อายุ 40-70
พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยหรือ
พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นอนาคตใหม่ของประเทศไทยเลยหรือ
แล้วเวลาชีวิตที่เหลือของพวกเขา จะต้องทนอยู่กับระบอบเผด็จการแบบนี้
ไปจนตายเลยหรือ?
พวกเขาต้องใช้ชีวิตอดๆอยากๆไปแบบนี้อีกกี่สิบปี?
ถ้าไม่ใช่วันนี้ แล้วเมื่อไหร่
คำว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา”
มันอาจไม่ใช่เพียงคำที่ใช้เฉพาะกับ คนรุ่นใหม่ เยาวชน นักศึกษา อีกต่อไป
แต่มันคือคำที่ คนไทยทั้งประเทศ
ก็อยากที่จะให้มัน
จบที่รุ่นของพวกเขา
เช่นกัน
ปล. ผมคงไม่ปฏิเสธว่า ผมอาจจะเขียนถึง อนาคตใหม่ ในแง่บวกเกินไป
เพราะส่วนตัวเอง ก็เป็นคนเบื่อในระบบการเมืองเก่าๆ พรรคเก่าๆ
การมาของ อนาคตใหม่ ทำให้ผมตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น
จากที่เคยคิดว่า การเมืองมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์
มันเป็นเรื่องของคนมีเงินเท่านั้น มีอิทธิพลเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันได้
อนาคตใหม่ ทำให้ผมเลิกคิดแบบนั้น
และผมก็เชื่อว่า น่าจะมีคนอีกหลายร้อยหลายพันคน
คิดเหมือนกันกับผมเช่นกัน
วันนี้ ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ อนาคตใหม่ ก้าวไกล ก้าวหน้า ใดๆทั้งสิ้น
นอกจากการเป็นสมาชิกพรรค (แบบรายปี) เพราะเชื่อในอุดมการณ์ของพรรค
และต้องการสนับสนุนพรรค ที่มีความเชื่อเดียวกัน เท่านั้น
ผมไม่ได้เป็นทีมงาน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพรรคเลย
แม้ ธนาธร อาจเป็น Role Model ในหลายๆด้าน
แต่…วันหนึ่งข้างหน้า หากมีพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ความเชื่อเดียวกันแบบที่ผมเชื่อ
ผมก็อาจจะเลือกไปสนับสนุนพรรคนั้นๆแทน
ดังนั้น หากบทความนี้ คุณอ่านแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วย ไม่ชอบ ไม่สบายใจที่ดูจะ อวย อนาคตใหม่ มากเกินไป
ผมเอง ไม่มีคำแนะนำอื่นใด นอกจากให้คุณปิดหน้าต่างนี้ หยิบรีโมท แล้วเปิด Netflix ดูให้สบายใจครับ
หรือหากอ่านแล้ว คันมือ มีข้อโต้แย้งใดๆ ก็สามารถกรอกลงในช่องคอมเมนต์ด้านล่างได้เลย
แล้วผมจะตามอ่านทุกคอมเมนต์ครับ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ครับ
ปล. 2 ภาพ Cover ผมค้นมาจาก Google ไม่ทราบที่มาจริงๆครับว่าใครเป็นเจ้าของภาพ หากน้องเจ้าของภาพผ่านมาเห็น หรือใครพอทราบ รบกวนคอมเม้นแจ้งได้เลยนะครับ
More Article
Leave A Comment