ประเทศไทยย่ำอยู่กับที่ เพราะ Baby Boomer
เท่าที่ผมเคยเรียนวิชาการเขียนมา
เค้าเคยบอกว่า ถ้าจะให้บทความที่เขียนน่าสนใจ
มันต้องเริ่มที่ตั้งแต่ประโยคแรกเลย
จะต้อง Grab Attention คนอ่าน หรือเรียกความสนใจจากคนอ่านให้ได้ก่อน
ภายในบรรทัดแรก
แค่จั่วหัวบรรทัดแรกของผม ก็คงไม่ถูกใจผู้ใหญ่หลายคนแล้ว 555
ทำไมผมถึงจั่วหัวแบบนี้
แล้ว BabyBoomer คืออะไร
ค่อยๆอ่านไปด้วยกันนะครับ ยาวหน่อย แต่อร่อยแน่ : P
ก่อนอื่นมาเริ่มกันที่ Baby Boomer คืออะไรกันก่อน
คนกลุ่ม Baby Boomer คือ คนที่เกิดช่วงปี 2489 – 2507 หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ภาวะสงครามทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้คนที่มีชีวิตรอดจากสงครามต่างต้องเร่งฟื้นฟูประเทศให้กลับมามีความเจริญอีกครั้ง ซึ่งเป็นเหตุจำเป็นที่คนยุคนั้นต้องการแรงงานจำนวนมาก จึงนำมาซึ่งค่านิยมของการมีลูกหลายๆคนเพื่อมาช่วยเป็นแรงงานฟื้นฟูประเทศ ยุคนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า “ลูกดก” หรือ “Baby Boom” เราจึงเรียกเด็กที่เกิดในยุคนั้นว่า “Baby Boomer”
เพื่อนๆ คงสังเกตได้จากคุณตาคุณยายเราที่มีลูกกันเยอะๆ ก็มาจากยุค Baby Boom นี้เองหละครับ โดยในปัจจุบันนี้คนกลุ่ม Baby Boomer คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 49 ปีขึ้นไป และก็เริ่มเข้าสู่วัยชราแล้ว คนกลุ่ม Baby Boomer นี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน เนื่องจากในยุคนั้นประเทศต่างๆ ก็ต่างกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคอุตสาหกรรม คนกลุ่ม Baby Boomer ก็เลยจำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น คนกลุ่มนี้จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงานกันเลยทีเดียวนะครับ เป็นคนที่เคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความอดทนสูง สู้งาน ทุ่มเทให้กับการทำงานและองค์กรมาก คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกกอนุรักษ์นิยม เป็นคนที่ชอบประเพณีที่ดีงาม ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย จากการสำรวจคนกลุ่มนี้ถือว่าน่าจะมีจำนวนมากที่สุดในสังคมปัจจุบันเลยทีเดียวนะครับ
ที่มา : https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/babyboomers-and-milleniums.html
แล้วทำไมคนกลุ่ม Baby Boomer ถึงทำให้ประเทศย่ำอยู่กับที่?
แน่นอนครับ คนกลุ่มนี้มีความสามารถ เก่ง
ผมไม่ได้บอกนะว่าคนกลุ่มนี้ ไม่เก่ง
แต่คนกลุ่มนี้เค้าติด กับดัก ที่พวกเค้าสร้างขึ้นมาไว้เอง
กับดักทางความคิดของพวกเขา
คนกลุ่มนี้ หลายๆคนในตอนนี้ มีธุรกิจของตัวเอง
และส่วนมากธุรกิจของพวกเขา ไม่ได้โตมาก แค่พออยู่ได้
ทั้งที่ความเป็นจริง มันน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ โตกว่านี้
เพราะอะไร?
เพราะคนกลุ่มนี้ ส่วนมาก เป็นพวกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเร็วเกินไป
ในยุคตั้งแต่ปี 2490 แน่นอนว่า การเริ่มทำธุรกิจอะไรสักอย่าง อาจไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก
เพราะประชากรยังน้อย คู่แข่งน้อย พอเริ่มธุรกิจได้ไม่นาน กิจการก็เริ่มเฟื่องฟู เริ่มเติบโต
นี่แหละครับ คือกับดักหลุมใหญ่ ที่คนกลุ่ม Baby Boomer ส่วนมากตกลงไปในหลุมนั้น
นั่นคือหลุมแห่ง อีโก้ หลุมแห่งความเชื่อมั่นใน ตัวกูของกู
คิดว่ากูเก่ง กูแน่ กูเจ๋ง กูประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุแค่ 25-30 กูคือยอดมนุษย์
กูคือนักธุรกิจระดับประเทศแล้ว
การประสบความสำเร็จ #เร็วเกินไป ทำให้เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป
เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจของพวกเขาที่คิดว่ามันเจ๋ง มันแน่
เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น คู่แข่งมากขึ้น Baby Boomer บางคนที่ไม่ยึดติดกับอีโก้ตัวเอง
ลองเปิดใจให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหาร ประสบการณ์ของคนรุ่นเก่า
บวกกับความรู้ทางด้านเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่
พอมารวมกัน มันก็ไปได้ไกลสิครับ
กลับกัน กลุ่มที่ประสบความสำเร็จเร็วเกินไป ก็ยังเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอยู่
คิดว่า ที่กูทำมาตลอด 20-30 ปี มันถูกต้องแล้ว
ก็ที่บริษัทอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะ #ตัวกู ไม่ใช่หรือ
แล้วทำไมถึงต้องเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีการทำงานล่ะ
ที่บริษัทมันแย่ มันจะเจ๊ง เป็นเพราะคนอื่นต่างหาก
เป็นเพราะบริษัทนั้นมันโกงอย่างนั้น
เป็นเพราะบริษัทนี้ มันมีใต้โต๊ะอย่างนี้
ไม่มีทาง ความผิด ความล้มเหลว มันไม่ได้เกิดจากตัวกูแน่นอน
นี่ล่ะครับ ผมถึงบอกว่า ทำไมคนกลุ่ม Baby Boomer ถึงทำให้ประเทศไทยย่ำอยู่กับที่
เพราะการยึดมั่นถือมั่นในตนเอง คิดว่ากูเก่งอยู่คนเดียวในกะลาใบนั้น
คนกลุ่มนี้ ภายนอก มักจะบอกกับคนอื่นๆว่า
“ผมยินดีรับฟังความเห็นต่าง ยอมรับความคิดสมัยใหม่”
แต่พวกเขาเหล่านี้ มีประโยคที่แสนสวยหรูนี้ไว้ เพื่อป้องกันตัวเองต่างหากครับ
เขารับฟังไปเท่านั้น แต่สุดท้าย พวกเขาก็จะมีเหตุผลของเขาอยู่ดี
ที่สุดท้ายแล้วก็จะกลับไปที่จุดเดิมก็คือ “กูเก่งอยู่คนเดียว” คนอื่นจะมาเก่งเกินหน้ากูไม่ได้
การที่พวกเขาอยู่แต่ในกะลาแห่งอีโก้ที่ครอบงำพวกเขาไว้
ทำให้สิ่งรอบตัวพวกเขาเดินช้าลง จนแทบจะหยุดนิ่ง
ในขณะที่โลกในปัจจุบัน หมุนไปด้วยความเร็วชนิดที่เรียกได้ว่า
จรวดยังตามแทบไม่ทัน แต่โลกในกะลาพวกเขาจะเคลื่อนไหวช้ามากจนถึงแทบหยุดนิ่งเสียด้วยซ้ำ
Mindset ที่น่ากลัวอีกอย่างของพวกเขาก็คือ
ในอดีต พวกเขาเคยลำบากมาก่อน กว่าจะมีบ้านใหญ่โต กว่าจะมีบริษัทได้ขนาดนี้
พวกเขาต้องทำงานแรงงานอย่างยากลำบากแสนเข็ญ
เมื่อพวกเขามีทายาทหรือลูก คนกลุ่มนี้ก็จะกดลูกของตัวเอง
ไม่ให้อยู่สบายๆ ต้องทำงานตั้งแต่เด็กเหมือนพวกเขา ต้องลำบากเหมือนพวกเขา
ในอดีต เขาไม่มีเงินแม้กระทั่งจะเรียน กว่าจะได้ร่ำเรียน ต้องทำงานด้วยตัวเอง
แลกเงินเพื่อส่งตัวเองได้เรียนสูงๆ ดีๆ
เมื่อเขามีลูก การส่งลูกไปเรียนต่างประเทศสำหรับคนกลุ่มนี้ คือสิ่งต้องห้าม
พวกเขาจะคิดว่า
“กูไม่เห็นต้องไปเรียนต่างประเทศ กูก็ประสบความสำเร็จได้”
โดยที่พวกเขาไม่ได้หันไปมองเลยว่า โลกที่หมุนไวขึ้นทุกวัน ประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
คู่แข่งที่มากขึ้นทุกวัน เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกของเขา ด้อยโอกาสกว่าคนอื่น
ผมได้คุยกับบางครอบครัว ที่บ้านมีอันจะกิน สามารถส่งลูกๆไปเรียนต่างประเทศได้สบายๆ
โดยไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก แต่พ่อของเขา มีความคิดแบบนั้น จึงเสียโอกาศที่จะได้ไปศึกษาที่ต่างประเทศนั้นไป
จริงอยู่ว่า การไปเรียนต่อต่างประเทศนั้น เราก็สามารถขอทุนได้
แต่หากถามกลับไปว่า “เราต้องไปแข่งกับคนอีกกี่คน” แล้วทุนที่ขอไปนั้น มีที่เราสนใจจะศึกษาต่อไหม?
ส่วนมากทุนที่ให้ขอไปศึกษาที่ต่างประเทศนั้น ก็มักจะเป็นคณะหรือสาขาวิชาที่หลายๆคนอาจไม่สนใจ เช่น วิทยาศาสตร์ หรือแพทย์ต่างๆ แต่ถ้าเราไม่ถนัดด้านนี้ล่ะ เราอยากไปศึกษาต่อด้านแฟชั่น มีทุนตรงนี้ให้ไหม? สมมติว่ามี แล้วถ้าเราไปแข่งขันกับคนอื่นไม่ได้ล่ะ เราแพ้เขา เพราะทุนก็ไม่ได้มีเยอะแยะ การที่ครอบครัวจะสนับสนุนให้ได้ศึกษาที่ต่างประเทศในสาขาวิชาที่เราชอบจริงๆ มันเป็นไปไม่ได้เหรอ มันไม่ง่ายกว่าเหรอที่จะไปขอทุนแข่งกับคนอื่น
ความน่าน้อยใจอีกอย่างก็คือ เมื่อเราเติบโตขึ้นมาในระดับหนึ่ง
Baby Boomer กลุ่มนี้ ก็มักจะเอาเราไปเปรียบเทียบกับครอบครัวคนอื่น
“ดูสิ ลูกเพื่อนพ่อเขาได้ทำงานบริษัทใหญ่โตเลยนะ”
“นี่ลูกเพื่อนแม่ เขาได้เป็นผู้จัดการแบงก์เลยนะ”
“เจ้าบอยเด็กข้างบ้านนี่มันเก่งนะ ตอนนี้เงินเดือนเป็นแสนแล้ว”
“ไอ้เอกนี่มันเป็นสุดยอดลูกเลยนะ มันให้เงินพ่อแม่มันเดือนละหมื่นสองหมื่น มันทำงานเก่งจริงๆ”
คำพูดเหล่านี้ มักจะย้อนมาแทงใจลูกๆที่เกิดมาในยุคใหม่
บางคนตั้งใจพูดเพื่อแดกดันลูกตัวเอง
บางคนอาจจะพูดขึ้นมาลอยๆโดยไม่ตั้งใจ
โดยหารู้ไม่เลยว่า บางทีการที่ลูกคนอื่นที่เขายกตัวอย่างมานั้น
แบคกราวด์หรือเบื้องหลังครอบครัวของเขานั้นเป็นอย่างไร เขาสนับสนุนลูกของเขามากแค่ไหน
จริงๆแล้ว ผมตั้งใจจะเขียนหัวข้อว่า “ธุรกิจย่ำอยู่กับที่ เพราะ Baby Boomer”
แต่แค่รู้สึกว่ามันเล็กไปหน่อย และคิดว่าสิ่งที่ Baby Boomer ส่วนมากทำนั้น มันไม่ได้ส่งผลกระทบ
แค่เพียงธุรกิจของพวกเขาเท่านั้น ซ้ำร้าย สิ่งที่พวกเขาคิด สิ่งที่พวกเขาเชื่อ กลับส่งผลอย่างวงกว้างต่อประเทศไทยของเราด้วยซ้ำ ซึ่งคงจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ
“Baby Boomer กับการเมืองไทย”
เพราะหากต้องเขียนต่อในหัวข้อนี้ คิดว่าคงเป็นบทความที่ยาวมากๆ กลัวว่าจะหลับก่อนจะอ่านกันจบ
แล้วพบกันในหัวข้อถัดไปนะครับ
หมายเหตุ : อย่างที่ผมเขียนไปข้างต้นว่า ประเทศไทยย่ำอยู่กับที่เพราะ Baby Boomer ก็จริง
แต่คงไม่ใช่ Baby Boomer ทุกคน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศของเรา คงล้าสมัยกว่าปัจจุบันนี้ไปหลายสิบปีมาก
ผมไม่ได้ต่อว่าหรือตำหนิ Baby Boomer ทุกท่านนะครับ เน้นย้ำอีกครั้ง
ผมกล่าวถึงเฉพาะบางคนเท่านั้นที่ยังมีความคิดแบบเก่าๆอยู่
และไม่ได้บอกว่า สิ่งที่ Baby Boomer คิดนั้นผิดทั้งหมด หรือสิ่งที่คนรุ่นใหม่คิดถูกทั้งหมด
เพราะอย่างน้อยๆ สิ่งที่พวกเขาคิดและทำ ก็ขับเคลื่อนให้ประเทศเราได้มาถึงจุดนี้
ที่มีความก้าวหน้า และเจริญในระดับหนึ่ง
แต่มันจะดีกว่าไหม ถ้าพวกเขาเหล่านั้น ยอมเปิดกะลาของตัวเองออก
แล้วรับฟังคนรุ่นใหม่ หันหน้าคุยกันอย่างมีเหตุผล แล้วนำไปคิด วิเคราะห์ แยกแยะอย่างจริงจัง
ไม่ใช่เพียงให้ประโยค
“ผมรับฟังคนอื่นและคนรุ่นใหม่เสมอ”
เป็นเพียงแค่เกราะป้องกันจากคำว่า “โลกแคบ” จากคนรอบข้างเท่านั้น
More Article
Leave A Comment